8 กลเม็ดแก้ปัญหาวิ่งแล้วจุกท้อง จนวิ่งต่อไปไม่ไหว
เชื่อว่าเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับมือใหม่หัดวิ่งหลายๆคนอย่างแน่นอน คุณเป็นหนึ่งในนั้นด้วยหรือไม่? ที่อุตส่าห์ตั้งใจวิ่งแล้วแท้ๆ แต่วิ่งไปยังไม่ทันถึงโลก็เกิดจุกเสียดท้องจนหน้าเหยเก วิ่งต่อไปไม่ไหวซะงั้น

เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มวิ่ง ยังไม่ชินกับการวิ่ง ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะมีทางแก้อย่างแน่นอน และวันนี้เราก็รวบรวมมาให้แล้ว
1. ลองพิจารณาตัวเองดูว่ากินเยอะก่อนวิ่งหรือเปล่า
อันนี้เป็นปัจจัยขึ้นพื้นฐานที่สุด จริงอยู่ที่หลังทานอาหารคุณอาจออกไปจ็อกกิ้งให้อาหารย่อยได้ หรืออยากทานอะไรเติมพลังสักหน่อยก่อนวิ่ง ให้ร่างกายกะปรี้กะเปร่า แต่…ต้องควบคุมปริมาณให้เหมาะสม และที่สำคัญควรทิ้งเวลาสักประมาณ 2 ชม. แล้วค่อยไปวิ่ง และอาหารที่ทานก็ควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย เบาๆ เช่น ไข่กวน โยเกิร์ต หรือผลไม้ เป็นต้น หลีกเลี่ยงอาหารจัดเต็มอย่างก๋วยเตี๋ยว สเต็ค ขนมเบเกอรี่ทั้งหลาย

2. การหายใจก็สำคัญ
เพราะการหายใจที่ผิดวิธีจะยิ่งทำให้เกิดอาการจุกเสียดได้ง่าย ในส่วนนี้จึงต้องระวังเป็นอันดับต้นๆ โดยวิธีการหายใจที่ถูกต้องคือต้องใช้จมูกหายใจเข้า สูดลมเข้าจนเต็มปอด ให้ท้องขยาย และเมื่อหายใจออกให้เอาลมออกทั้งทางปากและจมูกพร้อมๆกัน อย่าลืมแขม่วท้องขณะหายใจออกด้วย พยายามหายใจแบบสบายๆ เป็นธรรมชาติ จำไปฝึกไว้อย่างนี้ ทำจนชิน แล้วอาการจุกท้องขณะวิ่งจะค่อยๆดีขึ้นเอง

3. หลีกเลี่ยงการโน้มตัวไปข้างหน้ามากเกินไป
บางทีปัญหาที่ทำให้จุกท้องของเรา อาจเกิดจากท่าวิ่งก็เป็นได้ ลองพิจารณาดูว่าเป็นไปได้ว่าเราอาจจะวิ่งเอนตัวไปข้างหน้ามากเกินไปโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อรู้ตัวแล้วให้รีบปรับด่วน โดยพยายามวิ่งให้หลังตรง สง่าผ่าเผยมากที่สุด การเอนตัวไปข้างหน้านอกจากจะทำให้จุกท้องแล้วยังทำให้หลังดูงออีกด้วย

4. เพิ่มพลังให้กับกล้ามเนื้อ
คนที่ไม่เคยวิ่งเลย หรือแทบไม่ได้วิ่ง ก็เป็นไปได้ว่าปัญหาอีกอย่างคือ กล้ามเนื้ออาจจะไม่แข็งแรง ใครที่เคยเรียนวิชาพละ แล้วอาจารย์ให้วิ่งรอบสนามแล้วจุกบ่อยๆ เชื่อว่าน่าจะผ่านความรู้สึกตรงนี้มาหมดแล้ว ปรกติไม่เคยวิ่ง มาวิ่งแต่ในชั่วโมงพละ และอาจารย์ก็ให้วิ่งซะเป็นระยะทางไกลเหลือเกิน จะหยุดวิ่งก็ไม่ได้เพราะจะโดนให้วิ่งใหม่ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วก็อย่าเพิ่งเซ็ง วิธีแก้คืออย่ารอมาออกกำลังแค่ชั่วโมงพละ หาเวลาฟิตร่างกายนอกเวลาด้วย ให้กล้ามเนื้อแข็งแรงทุกสัดส่วนยิ่งดี จะว่ายน้ำ เข้าฟิตเนส หรือจะวิ่งจ็อกกิ้งเองก็ย่อมได้หมด

5. อย่าวิ่งเร็วเกินไป
เป็นวิธีสำหรับคนที่ลองมาทุกกลเม็ดแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ให้คุณลองลดความเร็วในการวิ่งดู เอาเป็นจ็อกกิ้งไปก่อนเลยก็ได้ วิ่งเหยาะๆ เน้นทำระยะทาง ไม่เน้นทำเวลา แบ่งจังหวะการหายใจให้ถูกต้องควบคู่กันไป หายใจเข้าตอนเท้าข้างท้องที่ปวดลงพื้น หายใจออกตอนเท้าอีกข้างแตะพื้น ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆเพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของกระบังลมให้ดีขึ้น ก็จะช่วยทุเลาอาการจุกท้องขณะวิ่งได้

6. อย่าวิ่งแบบ Non-stop
การที่คุณพยายามอยากวิ่งนั้นเป็นเรื่องดี แต่ก็ต้องรู้จักประมาณตนด้วย อย่าวิ่งเกินพิกัดที่ร่างกายตัวเองจะรับไหว โดยเฉพาะเมื่อคุณยังไม่ชินกับการวิ่ง ไม่ควรวิ่งติดต่อกันนานแบบไม่หยุดพักเลย แบบนั้นจะยิ่งจุกท้องยิ่งทรมาน แล้วยิ่งทำให้การออกกำลังไม่มีประสิทธิภาพ ทางที่ดีคุณควรกำหนดเวลาให้ตัวเองได้วิ่งและพัก เช่น วิ่งซักครึ่งโลแล้วพัก 5 นาที เป็นต้น

7. อย่าดื่มน้ำเยอะเกินไประหว่างวิ่ง
เวลาที่คุณออกไปวิ่ง คุณจะเสียเหงื่อเยอะ คุณสามารถดื่มน้ำเพื่อชดเชยเหงื่อที่เสียไปได้ แต่ควรดื่มแบบจิบๆ ไม่ควรดื่มแบบซดเอาๆ เพราะจะหนักท้อง ทำให้วิ่งไปแล้วจะจุกได้

8. ทำท่ากายบริหารก่อนลงวิ่งสักหน่อย
การทำกายบริหารเป็นสิ่งที่ควรทำก่อนเริ่มเล่นกีฬาทุกชนิด เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อได้วอร์มอัพ ยืดเส้นยืดสายเบาๆ ก่อนที่จะเริ่มลงงานหนัก ถ้าไม่ทำกายบริการเลยแล้วลงไปวิ่งทันที จะทำให้กล้ามเนื้อปรับตัวไม่ทัน เหมือนกับคนที่ไม่เคยฝึกการใช้แรงมาก่อน จู่ๆให้ไปทำงานที่ต้องใช้พละกำลังมหาศาลทันที ก็จะเกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย

เห็นไหมว่าการแก้ปัญหาวิ่งแล้วจุกท้องไม่ใช่เรื่องยากเลย ลองทำตามนี้ดู อดทนฝึกไปเรื่อยๆ รับรองดีขึ้นแน่นอน