Pace คืออะไร มีประโยชน์ต่อการวิ่งอย่างไร นักวิ่งมือใหม่ต้องรู้!!!
เมื่อการวิ่งเริ่มเป็นที่นิยม ผู้คนมากมายหันมาวิ่งออกกำลังกายกันมากขึ้น บางคนวางแผนไปไกลในระดับลงแข่งขัน แต่เชื่อว่านักวิ่งมือใหม่หลายคนต้องเคยได้ยินคำว่า “เพซ (Pace)” กันมาก่อนบ้างแล้วอย่างแน่นอน ซึ่งก็คงทำให้รู้สึกสงสัยไม่น้อยว่า Pace คืออะไรกันแน่นะ สำคัญต่อการวิ่งมากน้อยอย่างไร แล้วจะคำนวณอย่างไรดีจึงจะเหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด
Pace คืออะไร
Pace คือ เวลาที่ใช้ในการวิ่งต่อระยะทาง 1 กิโลเมตรหรือ 1 ไมล์สำหรับเมืองนอก เรียกว่า Pace ยิ่งต่ำเท่าไร เวลาที่ใช้วิ่งก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น Pace คือสิ่งที่สามารถบอกอะไรได้หลายอย่างเพราะยิ่งค่าต่ำมากเท่าไรยิ่งวิ่งเร็วมากขึ้นเท่านั้น ทั้งยังช่วยบอกถึงความเร็วโดยรวมได้ด้วยว่าตลอดระยะทางวิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ยเท่าไร วิ่งได้ความเร็วสม่ำเสมอหรือไม่ ทำสถิติได้ดีหรือเปล่า เป็นต้น การรู้ Pace สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายประการแต่จะขอพูดถึงประเด็นนี้กันในภายหลังนะคะ
วิธีการหา Pace คืออะไร
ปัจจุบันนี้การหา Pace คือสิ่งที่ทำได้ง่ายมากเพราะเชื่อว่าคนที่รักการออกกำลังกายส่วนใหญ่มี Smart Watch ติดตัวกันหมดทุกคนแล้ว วิธีการหาก็แค่จับเวลาการวิ่งในระยะทาง 1 กิโลเมตรว่าใช้เวลาไปกี่นาที Smart Watch ปัจจุบันนี้มี GPS ที่ค่อนข้างแม่นยำ จับได้ทั้งเวลาและระยะทางแถมคำนวณออกมาเป็นค่า Pace ให้เสร็จสรรพ ในขณะวิ่งเลย สะดวกสบายมากๆ แต่ถ้าใครวิ่งตามสนามมาตรฐาน ส่วนมากจะมีความกว้าง 400 เมตร การจับเวลาใช้นาฬิกาธรรมดาทั่วไปได้ แล้วค่อยนำมาคำนวณทีหลังก็จะได้ค่า Pace เช่นเดียวกัน
หากเราทราบค่า Pace และระยะทางที่จะวิ่งแล้ว ก็จะคำนวณระยะเวลาที่ใช้วิ่งกันแบบคร่าวๆได้ เช่น วิ่ง Pace 6 ด้วยความเร็วปกติไม่ใช่ความเร็วสูงสุด ถ้าวิ่ง 10 กิโลเมตร เวลาที่จะใช้วิ่งก็ราวๆ 60 นาที
การหา Pace การวิ่งที่เหมาะสม
ส่วนใหญ่แล้วนักวิ่งหน้าใหม่โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งจะเริ่มลงแข่งขันมินิฮาล์ฟมาราธอนครั้งแรกๆมักจะรู้สึกสงสัยกันอยู่เสมอว่าควรวิ่งด้วย Pace คือเท่าไรดี คำถามไม่สามารถตอบออกมาเป็นตัวเลขเป๊ะๆได้เพราะว่าความเร็วที่เหมาะสมของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับค่า VO2 Max* ของแต่ละคนด้วย
*ค่า VO2 Max คือค่าการใช้ออกซิเจนสูงสุดที่ร่างกายจะนำไปใช้เพื่อเผาผลาญพลังงานที่ได้จากสารอาหาร มีหน่วยเป็นมิลลิลิตร/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ค่านี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น เพศ อายุ ความแข็งแรงของร่างกาย ชาติพันธุ์ เป็นต้น ในขณะวิ่งร่างกายจะดึงออกซิเจนมาใช้ และถ้าวิ่งติดต่อกันเป็นเวลานานออกซิเจนจะถูกใช้สูงสุดจนไม่เพียงพอต่อการนำมาใช้เผาผลาญพลังงานอีกต่อไป เพราะฉะนั้นร่างกายจะเริ่มนำพลังงานมาใช้จากกระบวนการที่ไม่ได้พึ่งพาออกซิเจนแทน ซึ่งกระบวนการหลังเนี่ยมันทำให้เกิดกรดแลคติกสะสมอยู่ในกล้ามเนื้อ กรดนี้ทำให้ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ในนักวิ่งที่ไม่ค่อยได้ฝึกซ้อมเท่าไรนัก ร่างกายจะยังไม่แข็งแรงมากเท่าไร กรดแลคติกจะถูกผลิตออกมาเยอะ ทำให้รู้สึกปวดเมื่อยหรือเหนื่อยล้าได้เร็ว ค่า VO2 Max จะต่ำ ส่วนในผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง สามารถวิ่งได้นานโดยไม่เหน็ดเหนื่อยหรือปวดเมื่อย ค่า VO2 Max จะสูงกว่ามากถ้าเทียบกับการออกกำลังกายที่มีความหนักในระดับเดียวกัน แล้วจะหาค่า Pace ให้ตรงกับค่า VO2 Max อย่างไร มาดูวิธีการกันค่ะ
เคยมีการทดลองในระดับ Elite Level ต่ออัตราส่วนของ VO2 Max ของนักกีฬาวิ่งพบว่า
- หากวิ่งด้วยระยะทาง 800 เมตร จะมีอัตราการใช้พลังงาน 130% ของค่า VO2 Max
- หากวิ่งด้วยระยะทาง 1,500 เมตร จะมีอัตราการใช้พลังงาน 110% ของค่า VO2 Max
- หากวิ่งด้วยระยะทาง 3,000 เมตร จะมีอัตราการใช้พลังงาน 100% ของค่า VO2 Max
- หากวิ่งด้วยระยะทาง 5,000 เมตร จะมีอัตราการใช้พลังงาน 96% ของค่า VO2 Max
- หากวิ่งด้วยระยะทาง 10,000 เมตร จะมีอัตราการใช้พลังงาน 92% ของค่า VO2 Max
- หากวิ่งด้วยระยะทาง 42.195 กิโลเมตร(มาราธอน) จะมีอัตราการใช้พลังงาน 85% ของค่า VO2 Max
อธิบายได้ง่ายๆคือร่างกายจะมีอัตราการใช้พลังงาน 100% ที่การวิ่งเต็มที่ในระยะ 3,000 เมตรหรือ 3 กิโลเมตรนั่นเอง ดังนั้นการหา Pace ที่เหมาะสมกับศักยภาพร่างกายของตัวเองอยู่ก็ดูได้จากการวิ่ง 3 กิโลเมตรนี่ล่ะ และนี่เป็นตัวอย่างการหา Pace ที่การวิ่งในระยะทางต่างๆ
- ระยะทางการวิ่ง 3 กิโลเมตร ได้ Pace เฉลี่ย 5 นาที/กิโลเมตร (300 วินาที/กิโลเมตร) นี่คือ Pace การวิ่งที่ VO2 Max 100%
- ระยะทางการวิ่ง 5 กิโลเมตร การคำนวณค่า Pace คือจะต้องไม่เกิน 96% ของ VO2 Max ซึ่งก็คือ 5 นาที(300 วินาที) 0.96 กิโลเมตร สูตรการคำนวณคือ (300×100)/96 = 312.4 วินาที หรือ 5.12 นาทีนั่นเอง
- หากจะลงแข่งขันวิ่งมินิมาราธอน (10.2 กิโลเมตร) การคำนวณค่า Pace จะต้องไม่เกิน 92% ของ VO2 Max สูตรการคำนวณคือ (300×100)/92 = 326 วินาที หรือ 5.26 นาทีนั่นเอง
สำหรับการวิ่งในระยะทางอื่นๆก็คำนวณได้ตากสูตรเดิมเพียงแต่แทนค่าอัตราการใช้พลังงานที่แตกต่างกันไปตามระยะทางที่วิ่งเท่านั้นเอง เพียงเท่านี้ก็จะได้ Pace ที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและระยะทางในการวิ่งแล้ว อย่างไรก็ตามนี่เป็นการคำนวณสำหรับนักกีฬา เพราะฉะนั้นในผู้ที่วิ่งเพื่ออกกำลังกายธรรมดาทั่วไปค่า Pace ไม่จำเป็นต้องต่ำมากขนาดนี้ เช่น วิ่ง 5 กิโลเมตร ค่า Pace ควรบวกเพิ่มไป 10 วินาที เป็น 5.22 นาที/กิโลเมตร หรือวิ่งมินิมาราธอน ค่า Pace ควรบวกเพิ่มไปอีก 15 วินาที เป็น 5.41 นาที/กิโลเมตร เป็นต้น นี่ก็นับว่าเป็นการวิ่งที่สุดยอดมากแล้ว
การรู้จัก Pace คืออะไร มีประโยชน์ต่อการวิ่งอย่างไร
การรู้ Pace ของตัวเองมีประโยชน์ในหลายแง่สำหรับนักวิ่ง โดยเฉพาะด้านการวางแผนฝึกซ้อมและการพัฒนาผู้วิ่ง ดังนี้
- ใช้กำหนดค่าในการซ้อมวิ่งได้ เช่น ถ้าฝึกวิ่งระยะไกล Pace ที่ใช้ต้องมีความเร็วไม่มากนัก วิ่งช้าลง เพิ่มระยะทางให้ไกลมากขึ้น หรือถ้าจะฝึกวิ่งแบบ Interval ควรใช้ Pace ที่มีความเร็วมากขึ้น ระยะทางที่วิ่งไม่จำเป็นต้องไกลมากนัก จะได้วิ่งได้เร็ว ทำเวลาได้ดีมากขึ้น เป็นต้น
- วิ่งได้อย่างสม่ำเสมอ เมื่อรู้ Pace ของตัวเองแล้ว จะช่วยให้ควบคุมความเร็วของการวิ่งได้อย่างสม่ำเสมอมากขึ้น ไม่วิ่งเร็วหรือช้าจนเกินไป เป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ที่ชอบวิ่งเร็วในระยะทางเริ่มต้นแล้วมาแผ่วตอนกลางหรือปลาย เพราะนอกจากจะทำให้รู้สึกหมดแรงก่อนถึงเส้นชัยแล้ว ยังทำให้มีอาการจุกเสียดแน่นบริเวณชายโครงได้อีกด้วย ซึ่งถ้าสามารถคุม Pace ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ โอกาสที่จะเรื่องดังกล่าวด้านบนก็น้อยลง
- ช่วยให้รู้ว่าตัวเองเป็นนักวิ่งกลุ่มไหน การวิ่งจะแบ่งออกเป็น 12 Pace
Pace 8-12 : มักจะอยู่ท้ายขบวน วิ่งต่อเนื่องได้ไม่นานมากนัก พักวิ่งไม่เป็นเวลา ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มนักวิ่งมือใหม่
Pace 6-8 : จะเป็นคนที่วิ่งมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว วิ่งต่อเนื่องได้ไกลมากขึ้น พักน้อยลง จะอยู่ประมาณกลางๆขบวน
Pace 5-6 : จะเริ่มวิ่งด้วยความเร็วแล้ว พักไม่มาก วิ่งอยู่กลางค่อนไปทางหน้าขบวน
Pace 3-4 : คือกลุ่มที่วิ่งด้วยความเร็ว อยู่หน้าขบวน วิ่งแทบไม่พักเลย มักจะวิ่งเพื่อชิงรางวัล
Pace 1-2 : ส่วนมากเป็นนักกีฬา จะวิ่งด้วยความเร็วมาก
4. สถิติการวิ่งดีมากขึ้น Pace คือสิ่งที่นำมาใช้เพื่อตรวจสอบประสิทธิการวิ่งของตัวเองได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ดีหรือไม่อย่างไร นอกจากนี้ยังนำมาตั้งเป็นเป้าหมายขนาดเล็กเพื่อทำลายสถิติเดิมได้อีกด้วย แน่นอนว่ามันเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง สร้างสีสันให้กับการวิ่งไม่น้อยเลยทีเดียว
ถึงตอนนี้ก็ทราบกันแล้วใช่ไหมละคะว่า Pace คืออะไร และเรื่องนี้จะเป็นความรู้เล็กๆส่วนหนึ่งที่ใช้ประกอบการวิ่ง แต่มันกลับมีความสำคัญกับการฝึกซ้อมวิ่งไม่น้อยเลยทีเดียวพิสูจน์ได้จากประโยชน์จากการรู้จัก Pace ทั้งหมดด้านบนที่เรานำมาฝากกันนั่นเอง เพราะฉะนั้นควรฝึกคำนวณค่า Pace ที่เหมาะสมกับตัวเองซึ่งสามารถคำนวณได้ไม่ยากเลยจากตัวอย่างที่เรานำมาฝากกัน หากคำนวณได้แล้วจะได้ฝึกซ้อมได้อย่างถูกต้องเหมาะสมแถมยังทำให้เรารู้สถิติการวิ่งของตัวเองได้อีกด้วยนะ