การวิ่งจ็อกกิ้งช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่?
สำหรับบางคนที่คิดจะลดน้ำหนักด้วยการวิ่ง อาจไม่อยากวิ่งแบบเร็วๆเพราะกลัวเหนื่อยเกินไป เลยคิดอยากจะวิ่งจ็อกกิ้งแทน แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดความสงสัยด้วยว่า “เอ…วิ่งจ็อกกิ้งมันแค่วิ่งเหยาะๆเอง แล้วจะลดน้ำหนักได้จริงมั้ยน้า?” วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยกัน
ในเว็บไซต์ Quara มีชาวต่างชาติมาตั้งกระทู้ถามเรื่องนี้เช่นกัน โดยเขาถามว่า “How effective is jogging for losing weight?” แปลว่า “จ็อกกิ้งจะช่วยให้ลดน้ำหนักได้ผลมากน้อยแค่ไหน?”
ซึ่งก็ได้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นและแบ่งปันประสบการณ์มากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Nick Carter ซึ่งมีอาชีพเป็นหมอ แสดงความคิดเห็นว่า…(แปลเป็นไทย)
“ถ้าพูดถึงเรื่องการออกกำลังกายแล้ว การได้วิ่งจ็อกกิ้งสัก 30 นาทีก็ยังดีกว่าคุณไม่ทำอะไรเลย อย่างไรก็ตาม แค่วิ่งจ็อกกิ้งครึ่งชั่วโมงทุกวันไม่เพียงพอสำหรับการลดน้ำหนักให้ได้ดั่งใจคุณแน่นอน คุณจะแค่วิ่งจ็อกกิ้งอย่างเดียวไม่ได้ แต่คุณต้องควบคุมอาหารด้วย ยึดหลักการง่ายๆคือให้เบิร์นพลังงานออกมากกว่าเอาพลังงานเข้าร่างกาย สรุปคือให้คุณมีวินัยเรื่องการกิน แล้วหมั่นวิ่งจ็อกกิ้งสม่ำเสมอ เพื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างที่ตั้งใจ”
นอกจากนี้ยังมีความคิดเห็นจากอีกคนชื่อ Phil Bunting โดยเขาได้แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวว่าการวิ่งจ็อกกิ้งช่วยให้เขาลดน้ำหนักได้จริง โดยในการวิ่ง 6 ไมล์ต่อชั่วโมง ทำให้ร่างกายเขาเผาเผลาญแคลอรี่ได้มากถึง 150 แคลอรี่ต่อไมล์เลยทีเดียว และเขาก็ควบคุมอาหารด้วยเช่นกัน โดยพยายามไม่ตามใจปากมากจนเกินไป
และอีกหลายๆความเห็นที่เหลือก็เป็นไปในแนวทางเดียวกัน คือการวิ่งจ็อกกิ้งนั้นเหมาะสำหรับคนที่อยากลดน้ำหนักจริงๆ ดังนั้นจากกระทู้ดังกล่าว เราจึงสามารถสรุปได้ว่า “การวิ่งจ็อกกิ้งแม้จะเป็นแค่การวิ่งเหยาะๆ แต่ก็สามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง ถ้ามีวินัยพยายามฝึกวิ่งทุกวัน เพิ่มระยะทางให้ยาวขึ้น และคุมอาหารควบคู่กันไปด้วย”
รู้อย่างนี้หลายๆคนก็คงเริ่มอยากจะหยิบรองเท้าคู่ใจออกไปวิ่งจ็อกกิ้งกันบ้างแล้ว แต่ช้าก่อน! อย่าเพิ่งไป ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเคล็ด(ไม่)ลับเสมอ แน่นอนว่าในการจะวิ่งจ็อกกิ้งให้ได้ประสิทธิภาพ มันก็ต้องมีกลเม็ดเล็กๆน้อยๆด้วยเหมือนกัน มาดูเคล็ดลับเหล่านั้นส่งท้ายกันก่อน…
1. อย่าปล่อยให้ตัวเองหิวน้ำ
ระหว่างวิ่งจ็อกกิ้ง ควรพกน้ำติดตัวไว้ดื่มด้วย อย่าคิดว่าแค่วิ่งเหยาะๆแล้วร่างกายจะไม่เหงื่อออก ไม่หิวน้ำ ความจริงคือใช้พลังงานไปเรื่อยๆ แม้คุณจะไม่รู้สึกล้า วิ่งต่อได้สบายๆ แต่ร่างกายก็ต้องสูญเสียน้ำ และถ้าคุณปล่อยให้เป็นอย่างนั้นนานๆ สุดท้ายก็จะหมดแรงวิ่งเข้าจริงๆ แต่! ข้อควรระวังคืออย่าดื่มมากเกินไป เพราะจะกลายเป็นจุกท้องแทน
2. ลองหัดวิ่งลงจากทางชัน
เนินเขาเหมาะที่สุด ถ้าคุณมีโอกาสได้ไปเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัด นอนกลางป่ากลางเขา ตอนเช้าๆก็ตื่นไวๆ แล้วออกไปฝึกวิ่งจ็อกกิ้งลงเขาบ้าง การวิ่งลงเขาจะเป็นการฝึกการควบคุมกล้ามเนื้อที่ดีเยี่ยม เพราะทางลาดนั้นจะทำให้ร่างกายเราเคลื่อนไหวเร็วกว่าทางราบ ทำให้อาจเสียหลักล้มได้ถ้าไม่ระวัง ดังนั้นจึงเป็นการฝึกให้เราต้องควบคุมขาให้ดี วิ่งให้มีสมดุลย์ ไม่ไหลไปตามความชัน ถ้าทำบ่อยๆแล้วรับรองว่ากำลังขาคุณจะดีขึ้น และวิ่งจ็อกกิ้งได้ดีขึ้น อึดขึ้น แน่นอน
3. ฝึก Box Jump
Box Jump คือการกระโดดขึ้นกล่องที่ค่อนข้างสูง โดยเป็นอีกวิธีที่ฝึกกำลังขาได้ดี ทำให้ต้นขาแข็งแรง มีแรงวิ่งจ็อกกิ้งได้อีกยาว
4. ลองจับเวลาหรือกำหนดจำนวนก้าว
เป็นวิธีที่จะช่วยถีบให้คุณมีวินัยและบรรลุเป้าหมายลดน้ำหนักได้ไวขึ้น วิธีการคือคุณอาจใช้นาฬิกากำหนดเวลาขึ้นมา เช่น จ็อกกิ้งจากตรงนี้ไปถึงตรงนั้น ภายในเวลาไม่เกิน 10 นาที หรือเท่าไหร่ก็แล้วแต่ เป็นต้น หรืออาจตั้งปณิธานไว้ว่า คุณจะวิ่งจ็อกกิ้งให้ได้สักกี่ก้าวดี อาจจะ 20-30 ก้าว จากนั้นค่อยพักสัก 1 นาที แล้วค่อยวิ่งต่อ ก็ยังได้
5. ไปจ็อกกิ้งในสวนสาธารณะ หรือที่ที่มีวิวสวยๆ
วิธีนี้จะช่วยให้คุณผ่อนคลายและมีความสุขกับการวิ่ง และเมื่อออกกำลังด้วยใจที่เบิกบาน ก็จะยิ่งทำให้คุณมีใจรักในการออกกำลัง ก็จะออกได้นาน และเบิร์นแคลอรี่ได้มากขึ้น นอกจากนี้บริเวณที่มีวิวสวยๆ เช่น สวนสาธารณะ จะยังมีมุมให้คุณพักผ่อนเยอะอีกด้วย
6. ไม่กดดันตัวเองเกิดเหตุ
การมีวินัยไม่ได้แปลว่าต้องกดดันตัวเอง แต่คุณแค่ต้องเตือนตัวเอง แข่งกับตัวเอง แข่งทำเวลาหรือระยะทางที่ตัวเองกำหนด แบบค่อยเป็นค่อยไป อยู่ในความเหมาะสม ไม่เร่งรีบเกิน และไม่หย่อนยานเกินไป เมื่อทำได้แล้วคุณจะรู้สึกดีกับการออกกำลังกายของคุณอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ตอนแรกคุณอาจจะรู้สึกเหนื่อยกับมันจนเกือบจะท้อก็ตาม
เห็นหรือยังว่าการวิ่งจ็อกกิ้งนั้นดีต่อการลดน้ำหนักแค่ไหน? และก็ไม่ได้ยากลำบากอะไรมากมาย ขอเพียงแค่มีใจอยากจะทำ ไม่ย่อท้อ หมั่นฝึกฝันอยู่เสมอ เพียงเท่านี้รูปร่างดีๆพร้อมด้วยสุขภาพที่แข็งแรงก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว