ฝึก STRIDE อย่างไร ให้พัฒนาความเร็วในการวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากการฝึกออกกำลังกายแบบ DRILL จะช่วยเสริมสมรรถนะของร่างกายและกล้ามเนื้อในการวิ่งได้เป็นอย่างดีแล้ว อีกหนึ่งการฝึกออกกำลังกายก่อนวิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การฝึกแบบ STRIDE ซึ่งถือเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้นักวิ่งสามารถพัฒนาความเร็วในการวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังช่วยให้เกิดความอึดทนในการวิ่งระยะไกลได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

การออกกำลังกายแบบ STRIDE คืออะไร
การออกกำลังกายแบบ STRIDE คือการฝึกวิ่งด้วยระยะทางประมาณ 100 เมตรเป็นอย่างต่ำ ซึ่งนักวิ่งจะใช้แรงในการฝึกวิ่งทั้งหมด 90% จากนั้นหยุดพัก แล้วกลับไปเริ่มต้นวิ่งในระยะทาง 100 เมตรอีกครั้ง ด้วยความแรงในการวิ่งเท่าเดิม ซึ่งการฝึกวิ่งในลักษณะนี้จะช่วยทำให้ผู้วิ่งเกิดการโฟกัสไปที่ก้าวแต่ละก้าวและความถี่ของขาระหว่างวิ่งได้ดีมากขึ้น ซึ่งเมื่อโฟกัสถูกจุดแล้วก็จะสามารถควบคุมความเร็วให้มากขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับเป็นการฝึกออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับนักวิ่งที่มีปัญหาในการพัฒนาความเร็ว วิ่งอย่างไรก็ไม่เร็วขึ้นสักที การฝึกวิธี STRIDE นี้ช่วยได้อย่างแน่นอน

วิธีฝึกออกกำลังกายแบบ STRIDE ที่เหมาะสม
สำหรับวิธีการฝึกออกกำลังกายแบบ STRIDE ที่เหมาะสมนั้น นักวิ่งสามารถปฏิบัติได้ ดังนี้
1. เลือกพื้นที่ในการฝึกที่มีความเรียบหรือนุ่ม
การฝึก STRIDE ควรเลือกฝึกบนพื้นเรียบหรือพื้นที่มีความอ่อนนุ่ม เช่น สนามหญ้าหรือบนพื้นดิน ไม่ควรวิ่งบนพื้นคอนครีด หรือพื้นผิวที่มีลักษณะแข็งเกินไป เพราะจะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้

2. เริ่มต้นด้วยการวอร์มอัพอย่างเหมาะสม
การฝึกวิ่ง STRIDE ควรเริ่มต้นด้วยการวอร์มอัพก่อนอย่างน้อยสัก 5-10 นาที ด้วยการวิ่งเหยาะๆ หรือยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เพื่อปลุกกล้ามเนื้อให้ตื่นตัวและพร้อมสำหรับการฝึกมากที่สุด ซึ่งการวอ์มอัพก่อนฝึกนั้น ถือเป็นสิ่งกุญแจสำคัญสำหรับนักวิ่งทุกคน เพราะหากคุณไม่วอร์มอัพแล้วฝึกวิ่งจริงเลย ก็จะทำให้เกิดความเสียหายต่อกล้ามเนื้อได้ง่าย

3. เริ่มวิ่ง STRIDE ด้วยระยะทาง 100 เมตร
จุดเริ่มต้นของการฝึกออกกำลังกายแบบวิ่ง STRIDE ก็คือ การกำหนดระยะทางจากน้อยไปมาก โดยพื้นฐานในการฝึกให้เริ่มต้นจากระยะทาง 100 เมตรก่อน ซึ่งใช้เวลาในการฝึกวิ่ง 1 รอบให้อยู่ภายใน 20 วินาที โดยแรงที่คุณใช้ในการฝึกวิ่งควรอยู่ที่ 90% ของแรงทั้งหมด เพราะการฝึกลักษณะนี้เป็นการฝึกให้คุณวิ่งได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณสามารถใช้แรงในการวิ่งเร็วได้อย่างเหมาะสม

4. โฟกัสไปที่รูปแบบการวิ่งหรือท่าทางขณะวิ่ง
ขณะที่ฝึกวิ่ง STRIDE คุณไม่ควรโฟกัสที่เวลา ความเร็วหรือระยะทาง เพราะสิ่งสำคัญในการฝึกวิ่งลักษณะนี้ก็คือ การโฟกัสไปยังท่าทางการวิ่งหรือรูปแบบของการวิ่งที่เหมาะสม โดยในขณะวิ่งคุณควรนับก้าวให้ได้ประมาณ 28 ก้าวภายใน 20 วินาที หากคุณนับได้จำนวนก้าวที่น้อยกว่า 28 ก้าว ให้คุณปรับเปลี่ยนการสาวเท้าวิ่งใหม่ในรอบถัดไปโดยให้มีก้าวที่สั้นและถี่ขึ้น ทำสลับไปมา จนกว่าจะได้ท่าทางการวิ่งหรือจังหวะการก้าวเท้าที่เหมาะสมอย่างน้อย 8 ครั้ง

5. วิ่งให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด
การฝึกวิ่งแบบ STRIDE นักวิ่งควรวิ่งด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด ไม่ควรเกร็งตัวมากเกินไป เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อถูกใช้งานผิดจุด และอาจเสี่ยงต่อการบาดเจ็บขณะวิ่งหรือเป็นตะคริวได้

6. วิ่งเท้าเปล่าจะช่วยให้การวิ่งเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น
การฝึกวิ่งแบบ STRIDE เพื่อให้เกิดแรงที่เหมาะสมในการวิ่งมากที่สุด นักวิ่งสามารถวิ่งเท้าเปล่าได้ แต่ควรสำรวจพื้นผิวบริเวณที่วิ่งว่ามีเศษแก้วหรือเศษหินหรือไม่ เพราะเศษดังกล่าวอาจจะทิ่มตำเท้าคุณจนได้รับบาดเจ็บตามมา อย่างไรก็ตามการฝึก STRIDE ด้วยเท้าเปล่าจะช่วยให้ร่างกายเกิดการโฟกัสไปที่การก้าวได้ดีมากขึ้น นักวิ่งหลายคนจึงนิยมวอร์มอัพและฝึกร่างกายก่อนวิ่งจริงด้วยการวิ่งเท้าเปล่ากันเสียส่วนใหญ่

การฝึกออกกำลังกายในแบบ STRIDE ถือเป็นเทคนิคจำเป็นสำหรับนักวิ่งทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าที่ต้องการเพิ่มสมรรถนะความเร็วให้กับการวิ่ง ซึ่งเมื่อฝึกฝนอย่างดีแล้วก็จะทำให้คุณมีสมาธิและโฟกัสไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างถูกจุด ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการวิ่งและความเร็วที่เพิ่มมากขึ้นได้อย่างเห็นผล